“มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีมชาติไทย ได้ประกาศแต่งตั้ง “มาโน่ โพลกิ้ง” กุนซือชาวบราซิล เชื้อสายเยอรมันเข้ามารับบทกุนซือ ทีมชาติไทยชุดใหญ่ นำทัพลุยศึก AFF Suzuki Cup 2020 แบบขัดใจแฟนบอลช้างศึก
โดยมีเป้าหมายหนึ่งเดียวเท่านั้น คือการทวงแชมป์คืนจากเวียดนาม เพื่อประกาศขัดว่าเป็นเบอร์หนึ่งของอาเซียน พร้อมเรียกศรัทธาจากแฟนบอลชางศึกกลับคืนมา
เปิดเหตุผลเลือก “มาโน่ โพลกิ้ง” คุมทัพทีมชาติไทยชุดใหญ่ คาดว่ามี 4 เหตุผล หลักดังนี้
1. รู้ลึกนักเตะไทย
มาโน่ โพลกิ้ง ทำงานอยู่ในเมืองไทยมายาวนานกว่า 6 ปีครึ่ง เขาเข้ามาพร้อมกับ วินฟรีด เชเฟอร์ เข้ามาทำทีมชาติไทยในช่วงหนึ่ง ก่อนจะคุม 3 ทีมสโมสรดังของเมืองไทย เขาคือกุนซือที่รู้ลึกถึงศักยภาพของผู้เล่นไทยเป็นอย่างดี ด้วยระยะเวลาอันสั้น เพียงเดือนกว่าๆเวลาสำหรับในการเตรียมทีมก่อนลุย AFF Cup การที่จะไปหากุนซือชาวต่างชาติในช่วงนี้ แล้วรู้จักนักเตะไทยเป็นอย่างดีนั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่าย มาโน่ โพลกิ้ง คือคนที่ใช่ นักเตะไทยแต่ละคนในแต่ละทีมเขารู้จักเป็นอย่างดีแน่นอน
2. AFC Pro License
เงื่อนไขหลักของกุนซือทีมชาติไทย ที่จะไปแข่งในระดับนานาชาติ ยุค “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ นั้น กุนซือคนดังกล่าวจำเป็นจะต้องมี “โปรไลเซนต์” และ มาโน่ โพลกิ้ง ก็คือ กุนซือดีกรีโปรไลเซนต์รุ่นแรกของเมืองไทย รุ่นเดียวกับ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง
3. ระยะเวลาของสัญญา
การที่จะไปหากุนซือชาวต่างชาติเพื่อที่จะเข้ามารับงานในสัญญาระยะสั้น 4 เดือน คงไม่มีกุนซือชาวต่างชาติคนใดจะรับข้อเสนอนี้อย่างแน่นอน แต่สำหรับ มาโน่ โพลกิ้ง ที่กำลังว่างงานจาก โฮจิมินห์ ซิตี้ พอดี อีกทั้งมีความสนิทสนมกับทางสมาคม เขาจึงยอมรับในเงื่อนไขนี้ได้ หากผลงานดีก็ได้ไปต่อ แต่หากผลงานแย่ก็ไม่มีอะไรจะเสีย
4. เงินเดือน
ด้วยข้อจำกัดเรื่องค่าเหนื่อยของทางสมาคมที่วางเพดานไว้ที่ไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อเดือน หากเกินนั้น “มาดามแป้ง” อาจจะเป็นผู้เพิ่มส่วนต่างให้ แต่สำหรับ มาโน่ โพลกิ้ง ช่วงที่อยู่กับ ทรู แบงค็อก เขารับค่าเหนื่อยราว 5-6 แสนบาท แต่ตอนนี้ด้วยผลงานอาจจะรับอยู่ที่ราว 3-4 แสนบาทต่อเดือน ซึ่งนั่นเป็นผลดีที่สมาคมไม่ต้องจ่ายค่าเหนื่อยแพงมหาศาล แต่คราวนี้ก็ต้องไปวัดกันที่ผลงาน หากสามารถพาทีมคว้าแชมป์ AFF Cup ได้ เขาก็จะได้รับการขยายสัญญา ที่สำคัญค่าเหนื่อยจะมีการเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
