บาเยิร์น มิวนิค ตัวพ่อในบุนเดสลีกาเยอรมัน สร้างความเซอร์ไพรส์ไม่น้อยเลยทีเดียว หลังจากเสริมทัพด้วยการคว้าตัว โอมาร์ ริชาร์ดส์ แบ๊กซ้ายตัวเก่งของทีมในระดับแชมเปี้ยนชิพอังกฤษอย่างเรดดิ้ง ไปร่วมทีมด้วยสัญญาเป็นเวลานานถึง 4 ปีแบบไม่มีค่าตัว
ริชาร์ดส์ก้าวเข้าสู่อคาเดมี่ของเรดดิ้งตั้งแต่ปี 2013 ก่อนที่จะได้ลงประเดิมสนามไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2017 และลงรับใช้ต้นสังกัดไปทั้งหมด 106 เกม ก่อนที่แข้งดาวโรจน์วัย 23 ปีเลือกที่จะไม่ต่อสัญญากับเรดดิ้งทำให้สามารถย้ายทีมได้แบบไร้ค่าตัว ทำให้บาเยิร์นไม่รอช้าที่จะคว้าตัวไปเติมแนวรับในถิ่นอัลลิอันซ์ อารีน่ายาวไปจนถึงปี 2025
สำหรับริชาร์ดส์เซ็นสัญญาค้าแข้งอาชีพฉบับแรกกับเรดดิ้งเมื่อปี 2016 หลังจากโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นในทีมชุดยู-18 และยู-23 และลงสนามประเดิมทีมชุดใหญ่ของเรดดิ้งไปเมื่อฤดูกาล 2017 – 2018 จากการสตาร์ทที่ม้านั่งสำรองในเกมนัดเปิดซีซั่นที่เผชิญหน้ากับควีนพาร์ค เรนเจอร์สเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2017
นอกจากริชาร์ดส์จะปักหลักในตำแหน่งแบ็กซ้ายแล้วนั้นยังสามารถโยกไปยืนเป็นวิงแบ็กได้อีกด้วย รวมทั้งยังได้รับการยกย่องว่ามีสไตล์การเล่นเช่นเดียวกับแข้งดาวรุ่งของบาเยิร์นอย่างอัลฟอนโซ่ เดวิสอีกต่างหาก และมีจุดเด่นที่ความเร็วและสามารถครองบอลได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงทุ่มเทเกินร้อยกับทุกนัดที่ได้ลงสนาม
จากการที่ริชาร์ดส์เป็นหนึ่งในแกนหลักของเรดดิ้งในฤดูกาล 2020 – 2021 ทำให้ถูกเรียกตัวไปติดธงทีมชาติอังกฤษชุดยู-21 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยประเดิมสนามให้กับทีมสิงโตคำรามชุดเล็กในเกมที่เสมอสโลวีเนีย 2-2
ขณะเดียวกันนั้นเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ซึ่งเพิ่งตกชั้นจากพรีเมียร์ลีกอังกฤษในซีซั่นนี้ ได้ผู้จัดการทีมคนใหม่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยทีมดาบคู่คว้าตัวอดีตโค้ชคนเก่งอย่างสลาวิซ่า โยคาโนวิช อดีตนายใหญ่ของยักษ์ใหญ่ในไทยพรีเมียร์อย่างเมืองทอง ยูไนเต็ด ด้วยสัญญา 3 ปีพร้อมภารกิจนำทีมกลับขึ้นสู่ลีกสูงสุดของเมืองผู้ดีให้เร็วที่สุด
โยคาโนวิชเคยสร้างชื่อด้วยการนำเมืองทอง ยูไนเต็ดคว้าแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีกด้วยสถิติไร้พ่ายตลอดทั้งฤดูกาล รวมทั้งยังเคยนำฟูแล่มผงาดกลับสู่เวทีพรีเมียร์ลีกอีกครั้งเมื่อ 3 ซีซั่นที่ผ่านมา ก่อนที่จะโดนเจ้าสัวน้อยเขี่ยทิ้งไปในปี 2012 นอกจากนี้ยังมีประสบการณ์การคุมทีมมาอย่างโชกโชนไม่ว่าจะเป็นเลฟสกี้ โซเฟีย, เอร์กูเลส, มัคคาบี้ เทลอาวีฟ ก่อนที่จะนั่งเก้าอี้กุนซืออัล-กราฟาในกาตาร์ล่าสุด
