โด้ขอทำสถิติลุยบอลโลกรอบสุดท้ายมากสุด

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กัปตันทีมชาติโปรตุเกสจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตั้งเป้าเอาไว้ขอเป็นพ่อค้าแข้งรายแรกที่สามารถทำสถิติลงเล่นในศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้ติดต่อกันเป็นสมัยที่ 6 แม้ว่าจะต้องลากสังขารในวัย 41 ปีไปฟาดแข้งในบอลโลกรอบสุดท้ายปี 2026 ซึ่งทั้งสหรัฐอเมริกา, เม็กซิโก และแคนาดาต่างรับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพร่วมกัน
โรนัลโด้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักเตะที่สามารถรักษาสภาพความฟิตของร่างกายเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ว่าตอนนี้จะอายุอานามปาเข้าไป 36 ปีแล้ว แต่ก็ยังสามารถกลายเป็นกำลังหลักให้ทั้งทีมชาติโปรตุเกสและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยเฉพาะการล่าตาข่ายให้ปีศาจแดงได้เป็นกอบเป็นกำอย่างต่อเนื่องนั้นมันการันตีได้ถึงความสุดยอดกลับการหวนคืนสู่โอลด์ แทรฟฟอร์ดเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปีได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
ก่อนหน้านี้โรนัลโด้เพิ่งจะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการลูกหนังโลก หลังจากซัลโวให้โปรตุเกสไปเบ็ดเสร็จ 115 เม็ดจากการลงเล่นให้ทีมฝอยทองไปแล้ว 182 เกม ทำให้ตอนนี้ “ซีอาร์ 7” กลายเป็นเจ้าของสถิตินักเตะที่ทำประตูในระดับทีมชาติได้มากที่สุดของโลกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขณะเดียวกันนั้นหากไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงถึงขั้นโลกแตกแล้วล่ะก็ โรนัลโด้และลีโอเนล เมสซี่ มหาเทพลูกหนังทีมชาติอาร์เจนติน่า คงสามารถนำทีมบ้านเกิดเข้าไปวาดลวดลายในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายปี 2022 ที่กาตาร์เป็นเจ้าภาพได้อย่างแน่นอน แล้วนั่นก็หมายความว่าทั้งโรนัลโด้และเมสซี่จะทำสถิติในการลงโชว์เพลงแข้งบอลโลกรอบสุดท้ายได้ติดต่อกันมากสุดเป็นสมัยที่ 5 ทราบรัศมีโลธาร์ มัทเธอุส ตำนานแข้งทีมชาติเยอรมัน รวมไปถึงสองตำนานแข้งบันลือโลกของเม็กซิโกอย่างราฟาเอล มาร์เกซและอันโตนิโอการ์บาฆัล
อย่างไรก็ดีนับว่าทั้งโรนัลโด้และเมสซี่ต่างประสบความสำเร็จในอาชีพการค้าแข้งไปแบบจุก ๆ โดยต่างกวาดรางวัลบัลลง ดอร์รวมกันไปเบ็ดเสร็จ 11 สมัยเลยทีเดียว รวมทั้งยังความแชมป์มากมายทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ
สำหรับเกียรติประวัติในนามทีมชาติสูงสุดของโรนัลโด้นั้นมาจากการนำทัพโปรตุเกสครองความเป็นจ้าวยุโรปได้สำเร็จในศึกยูโร 2016 ขณะที่เมสซี่เพิ่งจะประสบความสำเร็จในนามทีมชาติเป็นครั้งแรก หลังจากที่รอคอยมาอย่างยาวนานจนขนาดเคยประกาศหันหลังให้ทีมฟ้าขาวมาแล้ว ก่อนที่จะกลับลำมารับใช้ทีมบ้านเกิด และไปสู่ฝั่งฝันจนได้จากการผงาดคว้าแชมป์โกปา อเมริกาใต้ 2021 ไปนอนกอดได้สำเร็จ ซึ่งนับเป็นหนึ่งในความสำเร็จอันสุดยิ่งใหญ่เพราะว่าเป็นการบุกไปคว้าแชมป์บนดินแดนของคู่กัดตลอดกาลอย่างบราซิลที่รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพนั่นเอง