แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเอาฤกษ์เอาชัยในการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกอังกฤษซีซั่นนี้ด้วยการสร้างผลงานระดับมาสเตอร์สพีคจาก การทำสถิติเก็บชัยในถ้วยเอฟเอ คัพในรังได้ ทำให้ แมนยูฯชนะติดต่อกันเป็นแมตช์ที่ 9 เท่ากับที่ขุนพลปีศาจแดงเคยทำเอาไว้ในปี 1912 หลังจากเอาชนะเวสต์แฮม ยูไนเต็ดไปได้แบบหืดขึ้นคอหลังต่อเวลาพิเศษ 1-0 ในเกมรอบ 16 ทีมสุดท้ายเมื่อค่ำคืนวันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564
แมนฯยูฯตัดสินใจพักตัวหลักอย่างบรูโน่ แฟร์นันด์สไว้ที่เก้าอี้ม้านั่งสำรอง แล้วเปิดโอกาสให้ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็คสตาร์ทเป็นตัวจริง รวมทั้งยังพักแข้งหลักอีกหลายราย ก่อนที่จะทยอยส่งลงไปในช่วงท้ายครึ่งหลังและช่วงต่อเวลาพิเศษไม่ว่าจะเป็นบรูโน่, เอดิสัน คาวานี่, สกอตต์ แม็คโทมีเนย์ และลุคชอว์
ประตูโทนในเกมที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดต้องรอคอยจนถึงในช่วงต่อเวลาพิเศษนาทีที่ 97 จากจังหวะที่มาร์คัส แรชฟอร์ดแปะบอลคืนในเขตโทษเข้าทางปืนให้แม็คโทมิเนย์กดเต็มข้อล่อเต็มแข้งเข้าไปตุงตาข่ายเป็นประตูขัยให้ผีแดงตบเท้าเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศไปด้วยสกอร์ 1-0
เส้นทางสถิติที่แมนฯยูฯทำได้ทาบรัศมีตนเองนั้นเริ่มต้นตั้งแต่ฤดูกาล 2016 – 2017 ที่ไล่ตบเร้ดดิ้งในรอบ 3 และวีแกน แอธเลติกในรอบ 4 ไปชิล ๆ ด้วยสกอร์เดียวกัน 4-0 ตามมาด้วยซีซั่น 2017 – 2018 ที่เอาชนะดาร์บี้ เคาน์ตี้ในรอบ 3 และเผด็จศึกไบรท์ตันไปในสกอร์เดียวกัน 2-0 ในรอบก่อนรองชนะเลิศ
ก่อนที่กำชัยเหนือเรดดิ้ง 2-0 ในรอบ 3 ฤดูกาล 2018 – 2019 และเชือดวูล์ฟแฮมป์ตันไปแบบฉิวเฉียด 1-0 ในรอบ 3 นัดแข่งใหม่ในซีซั่น 2019 – 2020 จนมาถึงในฤดูกาล 2020 – 2021 ประเดิมด้วยการเฉือนชนะวัตฟอร์ด 1-0 ในรอบ 3 และสยบคู่กัดตลอดกาลอย่างลิเวอร์พูลสุดมัน 3-2 ในรอบ 4 และมาเก็บเวสต์แฮมได้ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย
อย่างไรก็ดีผีแดงนั้นมีสถิติเกมเอฟเอ คัพในโอลด์ แทรฟฟอร์ดสุดติ่งกระดิ่งแมวเลยทีเดียว หากจะให้นึกถึงที่ล้มทีมใดไม่ได้ในรังนั้นมันต้องย้อนกลับไปไกลถึงในฤดูกาล 2015 – 2016 จากการกินเวสต์แฮมไม่ลงเสมอกันไป 1-1ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ขณะที่สถิติเดิมที่ปีศาจแดงเคยทำเอาไว้ในมันอยู่ในช่วงซีซั่น 1908 – 1912
สำหรับเกมเอฟเอ คัพรอบ 16 ทีมสุดท้ายอีกหนึ่งคู่เมื่อค่ำคืนวันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานั้น ทีมระดับเดอะแชมเปี้ยนชิพของเมืองผู้ดีทำเซอร์ไพรส์ด้วยการบุกมายัดเยียดความปราชัยให้ทีมในพรีเมียร์ลีกที่มีฟอร์มดีเมื่อเล่นในเทิร์ฟมัวร์อย่างเบิร์นลี่ย์ไปแบบหักปากกาเซียน 2-0
